เทศน์เช้า

ใจเป็นพระ

๑๑ ธ.ค. ๒๕๔๓

 

ใจเป็นพระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ก็อยู่กับปัจจุบัน ทุกข์นี่เราว่าเราทุกข์กัน ๆ เราว่าเราทุกข์เราก็เลยพยายามจะหาทางออก แต่ไม่ได้มองมุมกลับนะ มองมุมกลับว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นสมบัติ เป็นอริยทรัพย์นะ การเกิดเป็นมนุษย์นี่เป็นสิ่งที่เกิดยากที่สุด มนุษย์สมบัติได้มานี่ประเสริฐมากเลยมนุษย์สมบัติ เราได้เป็นมนุษย์ขึ้นมานี่

พอได้เป็นมนุษย์ขึ้นมานี่ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ประเสริฐตรงไหน? ประเสริฐกับสิ่งที่ว่า สิ่งที่เขาไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เขาเกิดมาในอบายภูมิ เขาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เห็นไหม เขาไม่มีกฎหมายรองรับ เขาไม่มีปัญญา เขาทำคุณงามความดีได้ แต่เขาไม่สามารถชำระคือปัญญาที่แก้ไขกิเลสได้ สิ่งที่แก้ไขกิเลสได้ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น

ถ้าเป็นเทวดาเป็นพรหมก็เหมือนกัน เป็นเทวดาเป็นพรหมขึ้นไปนี่ เขาก็สุขสบาย เห็นไหม เว้นไว้แต่ผู้ที่มีจริตนิสัยนี่ มันมีอยู่ส่วนน้อย ที่มาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าบ้าง มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์บ้าง ทำไมว่าเป็นเทวดาเป็นพรหมต้องมาฟังเทศน์พระที่เป็นมนุษย์ล่ะ?

มนุษย์ เห็นไหม เพราะมนุษย์นี่มันมีส่วนนี้ ส่วนที่ว่าถ้ามีบุญกุศลอยู่นี่ เราสร้างบุญกุศลมา มันก็มีความสุข เราเกิดมาประสบความสุขบ้างพอสมควรแก่อัตภาพ แต่ความทุกข์มันบีบคั้นในหัวใจโดยธรรมชาติของมัน ความทุกข์ที่บีบคั้นในหัวใจคือว่า มันไม่พอใจใด ๆ ทั้งสิ้น มันคิดได้ร้อยแปดนะ จินตนาการไปเราคิดไปนี่ คิดอยากได้สมบัติต่าง ๆ นี่ คิดมหาศาลเลย แต่สิ่งนั้นมันสมหวังไม่สมหวังนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง นั่นเป็นความคิดนะ

แต่พอคิดขึ้นมานี่ มันคุ้ยให้เราฟุ้งซ่านอยู่แล้ว ให้เราต้องวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไง นี่ “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” คิดแล้วเราก็ต้องขวนขวายมาให้กับร่างกายนี้ พยายามขวนขวายมาให้มัน เพราะเวลาคิดแล้วมันก็พูดไป นี่จะสมประสงค์ไม่สมประสงค์ สมความประสงค์นั้นอย่างหนึ่ง แต่ความฟุ้งซ่านนั้นเกิดแล้ว ความทุกข์นั้นเกิดแล้ว แล้วหามาก็ยังไม่สมกับความคิดของตัวเองอีก เห็นไหม ความคิดอันนี้มันถึงว่าเป็นทุกข์ในหัวใจนี่ มันทุกข์โดยธรรมชาติของมัน

แล้วเรามาเกิดเป็นมนุษย์น่ะ ถ้ามาเชื่อเรื่องศาสนา นี่วันนี้วันพระ พระสอนสอนเรื่องหัวใจไง สุขกายสุขใจ เห็นไหม แต่ถ้าสุขของใจนี้ประเสริฐที่สุด สุขของกายนี่ เราสุขชั่วคราวเท่านั้น เพราะมันต้องแปรสภาพไปโดยธรรมชาติของมัน มันต้องแก่ มันต้องเจ็บ ต้องไปโดยธรรมชาติของมัน ยับยั้งไว้ไม่ได้ มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นสมบัติยืมชั่วคราวเท่านั้น ชั่วคราวคือหนึ่งอายุขัยของเรา แล้วหนึ่งอายุขัยของเรานี่ เราจะตื่นเนื้อตื่นตัวพยายามหาสมบัติของเราไหม

ทานนี้เป็นทานนะ ทานนี้เป็นบุญกุศล ได้บุญกุศลมาเพราะอะไร? เพราะหัวใจมันได้มา หัวใจคิดว่าประกอบการงานมา ประกอบการงานได้วัตถุมาถึงไปแลกเป็นวัตถุมาทำทาน เห็นไหม นี่มันเกิดขึ้นมาจากร่างกายนี้แสวงหามา ทานมันก็ลงตรงนี้ไง บุญบารมีมันก็ลงตรงนี้ไง

ลงที่ว่าทำแล้วนี่เรามีความสุขของเรา คนที่สุขใจร่างกายจะไม่ค่อยวิการ ร่างกายนี้ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม แล้วร่างกายนี้ก็สดชื่นขึ้นไป นี่ถ้าสุขใจ ความสุขใจอันนี้มันเสริมไป ๆ ถ้าเราสร้างทานมาเป็นอย่างนั้น แล้วก็มามีศีลนี่ มีศีลเริ่มบังคับใจของตัว ปกป้องใจ กรอบของใจ เห็นไหม สิทธิของเรา บ้านของเรา รั้วของเรา ศีลนี้ก็ขอบเขตเข้ามา คิดอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ควรคิด ถ้าคิดอย่างนี้ถูกต้องต้องเหยียบคันเร่ง

นี่ถ้าตามความเป็นจริงน่ะ รถเวลาออกไปนี่ เบรกนี้สำคัญที่สุด เบรกกับคันเร่ง เห็นไหม เราว่าคันเร่งนี่ดีที่สุด ๆ แต่ถ้าไม่มีเบรกนี่ มันชน มันไปข้างหน้านี่มันไปไม่รอด เบรก เห็นไหม เบรกนี่ศีล ความคิดเหนี่ยวรั้งของเรา เบรกหัวใจไว้ไม่ให้มันคิดสิ่งที่ว่าเป็นโทษกับเรา

แต่สิ่งที่เป็นคุณต้องเร่ง อย่างเช่นทำคุณงามความดีต้องเร่ง ต้องเหยียบคันเร่ง เหยียบคันเร่งขึ้นไปเพื่อให้มันเป็นไป ไม่อย่างนั้นมันก็เฉื่อยชาด้วยกิเลสมันเหนี่ยวรั้ง ด้วยกิเลสด้วยความไม่รู้ของเรา มันเห็นแก่ความว่า ทำอย่างนี้เหนื่อย ถ้าทำคุณงามความดีนี่เป็นความทุกข์เป็นความยาก ถ้าทำความพอใจที่มันเป็นรูป รส กลิ่น เสียงทางโลก มันจะเป็นไปอย่างนั้น นี่เห็นไหม เบรก เบรกตรงนั้น เร่งนี่ เร่งเพื่อหนีกิเลสไง กิเลสมันไม่พอใจ มันไม่อยากทำ มันจะให้เราอยู่ในอำนาจของมัน เราจะเร่งอันนี้ออกไป พอเร่งออกไปประจำ ๆ

นี่มนุษย์ต่างกับสิ่งอื่นตรงนี้ ต่างกับภพชาติต่าง ๆ ตรงนี้ ตรงที่มีร่างกายและจิตใจ เทวดาเขาเป็นกายทิพย์ พรหมเป็นทิพย์ทั้งหมด ทิพย์คือว่าเป็นนามธรรมไม่มีร่างกาย แต่เรามีร่างกายเหนี่ยวรั้ง เห็นไหม เราถึงว่าพอมีร่างกายเหนี่ยวรั้งเราไม่รู้ จิตกับกายนี่มันอยู่ด้วยกัน แต่มันอาศัยกัน แล้วมันก็ไม่พอใจกัน มันเป็นปัญหากันตลอดเวลา

สิ่งที่เป็นปัญหา เราก็ว่าเป็นธรรมชาติเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเหนือธรรมชาติ เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือตรงนี้ไง สิ่งที่เป็นธรรมชาตินี่แหละเราก็ศึกษาธรรมชาติ รู้ในเรื่องของธรรมชาติ แล้วก็ปล่อยธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง มันต้องเสื่อมสลายเป็นธรรมดา

แต่หัวใจต้องให้สลัดทิ้งได้ ความสลัดทิ้ง สลัดทิ้งมันก็อยู่ด้วยกันด้วยความปกติ สลัดทิ้งความหลงผิดไง สลัดทิ้งอุปาทานในความยึดมั่นถือมั่นไง เวลามันยึดมั่นถือมั่นมันเหนี่ยวรั้งไว้นี่ สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นมันเป็นอดีตอนาคต ความรั้งความขับดัน เห็นไหม มันเป็นอดีตอนาคต มันไม่เป็นปัจจุบัน

นี่ถ้าเกิดวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมันจะเห็นสิ่งนั้น เห็นสิ่งนั้นเพราะมันเกิดในปกติ เกิดในปกติหมายถึงว่า มันเกิดในทันทีที่ว่าเราวิปัสสนาไป พอถึงที่สุดปั๊บมันเป็นปัจจัตตัง มันรวมตัวหมด แล้วมันจะปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง พอวางไว้ตามความเป็นจริง เห็นไหม นี่มนุษย์ประเสริฐไง ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์นี้เป็นภาระเฉย ๆ ร่างกายนี้เป็นภาระ ภาระให้หัวใจอยู่เพื่อให้ครบภพชาติไปเฉย ๆ

แต่ถ้าปุถุชนเรานี้ไม่ใช่ มันเป็นขันธมาร ธาตุขันธ์นี้เป็นมารทั้งหมด เป็นมารคือว่ามันเหนี่ยวรั้ง มันยุแหย่ มันให้เราไม่รู้ความเป็นจริง แต่ถ้าเป็นวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้วนี่ มันรู้ตามความเป็นจริง มันแยกออก กายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกออกจากกัน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระ ภาระเฉย ๆ

คนที่เป็นภาระนี่ มันปล่อยวางตั้งแต่วิปัสสนาญาณเข้าใจแล้ว พอปล่อยวางวิปัสสนาญาณเข้าใจแล้ว มันจะไม่มีความทุกข์กับเรื่องร่างกายนี้เลย เรื่องร่างกายนี้ก็เป็นหน้าที่ของเขาไป แล้วจะไม่วิกลวิการด้วย เพราะหัวใจมันยืนดูแล้วมันหัวเราะ หัวเราะว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้มันก็หัวเราะเยาะ มันหัวเราะนี่มันเข้าใจไง มันดีใจ มันปล่อยใจ มันก็สดชื่น มันก็ไม่ทุกข์ เห็นไหม เป็นภาระที่ว่าเราใช้ชีวิตนี้ให้จบสิ้นไปภพชาติหนึ่งเท่านั้น ๆ

พอใช้ภพชาติหนึ่งไป สลัดปั๊บเราตาย เห็นไหม คนที่มนุษย์บุรุษที่ประเสริฐเวลาสละตายนี่ ตายออกไป จิตนี้หลุดออกไป หลุดออกจากขันธ์ ๕ ไป แต่ปุถุชนเวลาตายนี่ มันตายไปพร้อมกับขันธ์ ๕ มันปล่อยแต่ร่างกายธาตุ ๔ ไว้ แต่ขันธ์สัญญาความจำนี่ มันกระวนกระวาย เราจะพลัดพรากจากเขา เราจะห่วงไปหมดเลย ห่วงเรื่องต่าง ๆ ห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ เห็นไหม ความห่วงนั้นเป็นอะไร นี่ขันธมาร

ความห่วงมันก็เกิดจากสัญญา เกิดจากสังขารปรุงมันแต่ง มันห่วงไม่ห่วงเราก็ต้องไป นี่คนที่ต้องตายไปพร้อมกับขันธ์ ๕ มันจะทุรนทุราย มันจะติดกับความคิดไป ถึงร่างกายปกติ ในหัวใจมันก็ฟุ้งซ่านออกไป มันทุกข์ร้อนไปกับสิ่งที่มันรับรู้ไว้ทั้งหมด สิ่งนี้ใครจะดูแลต่อ สิ่งนี้ใครจะทำ สิ่งนั้นใครจะไป แล้วเราจะต้องไปอยู่แล้วนี่ มันก็มัดกันไป เห็นไหม นี่ขันธมารเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา มันสลัดขาดมาตั้งแต่ตอนที่วิปัสสนาขาดแล้ว อาศัยกันมาเฉย ๆ ถึงเวลาแล้วก็หลุดออกไปจากกัน เหมือนกับเราออกมาจากบ้าน หลุดออกไปจากบ้าน บ้านนี้เป็นร่างกาย เราเดินออกจากบ้านไปโดยที่ว่าไม่มีความทุกข์ร้อนในหัวใจเลย นี่ทำได้ขนาดนั้นในศาสนาของเรา มนุษย์ประเสริฐประเสริฐตรงนี้ไง ประเสริฐที่ทำให้ได้เห็น

แต่ที่ในภพชาติต่าง ๆ เขาไม่มีตรงนี้ เขาพยายามฟังธรรมอยู่ เขาจะสำเร็จก็ได้ถ้าจิตใจดวงนั้น เห็นไหม อย่างถ้าเป็นอนาคาเป็นพรหมนี่ มันไม่ต้องฟังธรรม มันสำเร็จไปเพราะอะไร? เพราะมันไปถึงตรงนั้น เป็นที่สุดแล้วที่ว่าจะออกจากประตูไป ไปยืนตรงนั้นมันจะสุกไปข้างหน้า อันนั้นโดยธรรมชาติของพระอนาคา

แต่ในจิตที่เป็นปุถุชนอยู่ จิตที่เวียนตายเวียนเกิดอยู่ มันยังเวียนไป ฉะนั้นเกิดเป็นมนุษย์ถึงได้ประเสริฐตรงนี้ ถ้าเห็นอย่างนั้นแล้ว ความทุกข์ของเราในหัวใจนี่ ความทุกข์ของเราที่ประสบอยู่นี่ มันถึงว่าพอเป็นไปไง ถ้าเราคิดแต่ความปัจจุบันว่าทุกข์ ๆ นี่ เราไม่มองสิ่งนี้ มันทำไมถึงทุกข์? แต่ไม่มองคุณค่าของสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่มันเป็นภาชนะที่จะใส่ธรรมได้ สิ่งที่เป็นภาชนะที่เราจะค้นคว้าในร่างกายของเราได้ อันนี้ประเสริฐ เห็นไหม

มันเหมือนกับมีวัตถุดิบที่จะให้เราค้นคว้า แต่เรามองข้ามไป เรามองข้ามกายกับใจของเราไป ไปอยู่กับสิ่งอื่นหมดเลย ไปอยู่กับสมบัติพัสถาน ไปอยู่กับรูปรสกลิ่นเสียงทั้งหมด เห็นไหม ย้อนกลับมา ถึงต้องทำความสงบ ต้องทำสมาธิก่อน พอทำสมาธิเป็นสัมมาสมาธิแล้ว เริ่มต้นควรแก่การงานแล้วจะก้าวเดินอันนี้ออกไปได้ มันถึงเป็นประโยชน์กับเรา

วันพระต้องให้เป็นพระจริง ๆ เราเป็นพระขึ้นมา หัวใจเป็นพระ เห็นไหม เราเป็นคฤหัสถ์ นางวิสาขาก็เป็นคฤหัสถ์ นางวิสาขาทำไมเป็นพระโสดาบัน เป็นพระที่หัวใจ หัวใจเป็นพระแล้วเป็นได้หมด ฉะนั้นเราก็สามารถสร้างพระขึ้นมาในหัวใจของเราได้ วันพระในปฏิทินไว้ในปฏิทิน ถ้าหัวใจเราเป็นพระแล้วเราจะรู้จักความเป็นจริง รู้จักสัมผัสได้จริง มีภาชนะจริง แล้วทำได้จริงเป็นสมบัติของส่วนตน สมบัติของเราเป็นปัจจัตตัง เป็นอกาลิโกของบุคคลคนนั้น เอวัง